Covering Disruptive Technology Powering Business in The Digital Age

image
การสะท้อนถึงผลกระทบของโรค COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจนอกเหนือจากปี 2021
image
มกราคม 5, 2021 ข่าว

 

ในขณะที่หลายคนเลือกที่จะลืมเหตุการณ์ในปี 2020 ซึ่งเกิดจากการระบาดของโลกโควิด-19 ไปทั่วโลก แต่เราต้องจำไว้ว่าปี 2020 เป็นปีที่มีการระบาดใหญ่และส่งผลกระทบไปทั่วทุกมุมของสังคม จนทำให้องค์กรเกือบทั้งหมดเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

 

สำหรับ John Lombard ซีอีโอประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ NTT Ltd ได้ให้ความเห็นว่า จากการขยายวงกว้างของการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ปัจจุบัน จะช่วยให้หลายองค์กรตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี, มีการชื่นชมถึงประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ โดยปัจจุบันไอทีจะต้องสามารถตอบสนองสิ่งที่ธุรกิจต้องการได้มากขึ้นกว่าเดิม

“แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้อย่างชัดเจนว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เราเชื่อว่าปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จของธุรกิจที่เราได้ระบุไว้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะยังคงมีต่อไป โดยเราสามารถพัฒนาและเร่งการเติบโตได้แม้กระทั่งหลังการแพร่ระบาดด้วยการคิดทบทวนใหม่เกี่ยวกับการมีสถานที่ทำงานที่เหมาะสมกับความต้องการของพนักงานในอนาคต” จอห์นกล่าว

สิ่งเหล่านี้รวมถึงแนวคิดแบบ “การใช้เทคโนโลยีดิจิตอลเป็นลำดับแรก ” , เครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัยและปรับให้เหมาะสมกับคลาวด์ , การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI),  ระบบอัตโนมัติ, open Application Programming Interface (APIs) , การวิเคราะห์อย่างชาญฉลาดและการจัดการข้อมูล โดยรวมแล้วสิ่งเหล่านี้จะเป็นการวางรากฐานสำหรับการสร้างและรักษาประสบการณ์ที่ดีของพนักงานและลูกค้า

จากข้อมูลของจอห์น การคาดการณ์ของ NTT ไปไกลกว่าปี 2021 และสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่การระบาดของ COVID-19 มีต่อการเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของสังคม โดย NTT เชื่อว่ามีแนวโน้มทางเทคโนโลยีที่สำคัญ 3 ประการที่จะช่วยให้ธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกพร้อมรับกับปีใหม่ได้อย่างมั่นใจ:

  • การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเชิงรุกที่ชัดเจนเป็นที่สิ่งจำเป็นและไม่ใช่ทางเลือก โดยในปี 2021 ทาง NTT คาดว่าความเชื่อมโยงระหว่างมูลค่าทางธุรกิจและการลงทุนจะขยายวงกว้างขึ้น ตามรายงานการบริการที่มีการจัดการประจำปี 2020 ของ NTT มีเพียง 21% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่บอกว่า การปรับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจขององค์กรด้วยการสำรวจเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการทำงานนั้นถือเป็นภาระกิจหลักที่สำคัญ ซึ่งการขาดการปรับตัวทางธุรกิจอาจทำให้โครงการด้านไอทีประสบความสำเร็จได้ยากขึ้น ดังนั้นในปัจจุบัน ทางด้านไอทีต้องเต็มใจและสามารถตอบสนองสิ่งที่ธุรกิจต้องการได้มากขึ้นกว่าเดิม
  • ความสามารถในการใช้ประโยชน์จากคลาวด์สาธารณะและส่วนตัวให้คล่องตัวและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งสำคัญ ในขณะนี้ NTT เชื่อว่าวิธีเดียวที่จะเชื่อมโยงการลงทุนด้านเทคโนโลยีเข้ากับมูลค่าทางธุรกิจที่แท้จริงได้อย่างเป็นรูปธรรมคือ การใช้โครงสร้างพื้นฐานไอทีดิจิทัลที่ช่วยให้เกิดความคล่องตัวและการตอบสนอง ซึ่งก็คือการใช้คลาวด์สาธารณะและส่วนตัว โดยธุรกิจที่ตอบสนองและมีความยืดหยุ่นมากกว่าคือ ธุรกิจที่ลงทุนและได้มีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไปแล้ว ตัวอย่างเช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ NTT ได้ประกาศความสำเร็จในการนำแพลตฟอร์มการจัดการระบบคลาวด์มาใช้เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมมัลติคลาวด์ของ Hash Code Book (HCB) ในมาเลเซีย ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการจัดการระบบคลาวด์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถควบคุมและจัดการบริการคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพจากผู้ให้บริการคลาวด์ระดับไฮเปอร์สเกลต่าง ๆ ให้เป็นแพลตฟอร์มเดียว
  • ระบบอัตโนมัติจะเป็นหัวใจหลักของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจดิจิทัลให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น โดยลองพิจารณาระบบอัตโนมัติจากของประสบการณ์ของลูกค้ายกตัวอย่างเช่น จากรายงานการเปรียบเทียบประสบการณ์ลูกค้าทั่วโลกประจำปี 2020 ของ NTT Ltd ระบุว่ามีเพียง 12% ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิกที่ส่งมอบประสบการณ์ในการทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่มากกว่าครึ่ง (64%) มองว่าประสบการณ์ของลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ดังนั้น NTT จึงเล็งเห็นถึงการนำแชทบอทและบอทประมวลผลภาษาธรรมชาติที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ธุรกิจมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะแรกมากขึ้น

จอห์นยังชี้ให้เห็นว่าระบบอัตโนมัติจะมีบทบาทสำคัญในการริเริ่มประสบการณ์ของพนักงาน ซึ่งอาจจะมีความก้าวหน้าในการปรับใช้กระบวนการอัตโนมัติของหุ่นยนต์, machine-learning และ AI โดยเป็นการช่วยให้ผู้คนสามารถติดต่อกันและเก็บรักษาข้อมูลให้ปลอดภัย ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลพนักงานและเพื่อเป็นการรักษาผลผลิตและประสิทธิผลของงาน

สิ่งนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยจากรายงานสถานที่ทำงานอัจฉริยะประจำปี 2020 ของ NTT Ltd ซึ่งพบว่า 92.1% ของผู้ตอบแบบสอบถามใน APAC เชื่อว่าความต้องการของพนักงานจะเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบสถานที่ทำงานในอนาคต แต่สิ่งนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากกลยุทธ์ระยะยาวสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลด้วยการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่, นโยบายและหลักสูตรการฝึกอบรมเพื่อให้พนักงานรู้สึกคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มใหม่ ๆ

 

การลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม

“เราเข้าใจดีว่าความสามารถในการทำกำไรในหลายภาคส่วนและองค์กรต่างๆทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ ทำให้งบประมาณอยู่ในขีดจำกัด ดังนั้นธุรกิจที่หวังว่าจะสามารถโน้มน้าวใจผู้ถือหุ้นให้อนุมัติการลงทุนใหม่ได้สำเร็จ จะต้องแสดงให้เห็นถึงมูลค่าทางธุรกิจที่จับต้องได้ในทันทีและเกิดขึ้นได้ซ้ำ ๆ ” จอห์นกล่าว

ในขณะเดียวกันจอห์นเชื่อว่า องค์กรต่าง ๆ จะต้องมองหาวิธีที่สร้างสรรค์เพื่อจัดการกับอุปสรรคที่ขัดขวางความสำเร็จของนวัตกรรมดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการขาดทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโปรแกรมเมอร์ดิจิทัล, นักวิเคราะห์ข้อมูล, นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องจัดการกับปัญหาที่ติดขัดในการนำไปใช้งานและการขาดการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิผลในระหว่างพื้นที่การทำงานที่แยกส่วน ซึ่งจะตรงกันข้ามกับแนวทางขององค์กรที่มีพื้นที่ทำงานเป็นหนึ่งเดียว

จอห์นเน้นย้ำว่าคอมพิวเตอร์เชิงควอนตัมซึ่งยังอยู่ในช่วงแรก ๆ นั้นจะนำมาสู่ยุคใหม่ของการประมวลผลได้อย่างไร เขาคาดการณ์ว่าคอมพิวเตอร์เชิงควอนตัมจะทำให้เกิดการ disruption ที่เกี่ยวกับวิธีการเข้ารหัสข้อมูลของธุรกิจ โดยในโลกของการทำงานจากระยะไกล ผู้ก่อภัยคุกคามรู้ดีว่ามนุษย์เป็นตัวเชื่อมที่อ่อนแอที่สุดในด้านความปลอดภัย เมื่อพวกเขาอยู่นอกขอบเขต perimeter แบบดั้งเดิม

นอกจากนี้ยังมีความสนใจในการใช้งานเทคโนโลยี digital twin มากขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถรวมความคิด, นิสัยและทัศนคติของผู้คนเข้ากับ digital twinได้ ในขณะที่นวัตกรรมนี้มีแนวโน้มที่จะถูกนำเข้าสู่กระแสหลักในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าในเรื่องของจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม โดย บริษัทต่าง ๆ เช่น NTT กำลังร่วมมือในเชิงรุกกับระบบนิเวศของสถาบันวิจัยทางวิชาการเพื่อให้เทคโนโลยีนี้พร้อมใช้งาน

ในปี 2021 จอห์นคาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจและไม่ใช่ทางเลือก อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินธุรกิจจะต้องมีความยั่งยืนในระยะยาว

“ในขณะที่เราต้องเผชิญกับความเป็นจริงและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศ เราต้องติดตามและปรับใช้แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นจากความพยายามของตัวเราและธุรกิจ”

ตัวอย่างเช่น ระดับพลังงานและการใช้พลังงานในปัจจุบันโดยอุปกรณ์ไอทีและเครือข่ายมีผลกระทบที่รุนแรงและเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมของเรา นั่นเป็นเพราะพวกเขาพึ่งพาการประมวลผลทางอิเล็กทรอนิกส์และชิปที่ต้องใช้พลังงานในระดับสูง แต่ข่าวดีก็คือ ผู้บุกเบิกในการวิจัยและพัฒนาระบบเครือข่ายเชื่อว่าพวกเขามีคำตอบ โดย “All-Photonics Networks (APN) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้สายเคเบิลแบบออพติคัลและไฮบริด สามารถถ่ายโอนปริมาณการใช้งานจำนวนมากในขณะที่รักษาคุณภาพให้สูงและเวลาในการตอบสนองต่ำ ที่สำคัญ All-Photonics Networks จะช่วยให้เราดำเนินงานได้อย่างยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

“ APN เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่เทคโนโลยี disruptive ที่ให้สัญญาว่าจะช่วยให้ธุรกิจตระหนักถึงความปลอดภัยและความมั่นคง, สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนและลดภาระด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่ง NTT รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เริ่มต้นการค้นพบโอกาสและนวัตกรรมใหม่ ๆ ร่วมกับลูกค้าและคู่ค้าของเราในปี 2021 เป็นต้นไป”

(0)(0)