ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานั้นเป็นสัดส่วนโดยตรงกับการเติบโตและวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์ต่างๆมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็มีขนาดเล็กลงกะทัดรัดมากขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง
รถไร้คนขับ, อุปกรณ์ IoT อัจฉริยะที่มีการเชื่อมต่อหลายล้านข้อมูล, การได้รับข้อมูลที่มีความรวดเร็วเพียงปลายนิ้วสัมผัส ,เครื่องยนต์ที่สามารถคิด,ตัดสินใจและเรียนรู้โดยไม่ต้องอาศัยมนุษย์ ซึ่งทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่ามันมาจากนิยายแนววิทยาศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมาจากเทคโนโลยีจริงๆ ที่ได้รับการพัฒนาหรือได้แทรกซึมเข้ามาในการดำเนินธุรกิจและชีวิตของเราแล้ว
ในขณะเดียวกันชิปก็มีขนาดเล็กลงเช่นกัน จะเล็กแค่ไหนนั้น? กราฟจากบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันแสดงให้เห็นว่าเราก้าวหน้าไปมากเพียงใดในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาที่มี
เซมิคอนดักเตอร์มีขนาดเล็กลงจนต้องส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
มีขนาดเล็กกี่นาโนเมตร?
ลองนึกภาพถึงสิ่งที่บางกว่าเส้นผมของมนุษย์และมีขนาดไม่ถึง 100 ไมโครเมตร เมื่อเราพูดถึงสิ่งที่ขนาดเล็กกว่า 10 นาโนเมตรนั้น เรากำลังพูดถึงขนาดของดีเอ็นเอมนุษย์และเมื่อเล็กลงไปกว่านั้นก็จะเป็นโมเลกุลที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
สิ่งเหล่านี้ช่วยให้โปรเซสเซอร์มีขนาดเล็กลงและเล็กลงและนำมาซึ่งข้อดีหลายประการ เช่น:
- สามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ที่มีขนาดเล็กลงได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
- ผู้ผลิตสามารถผลิตเซมิคอนดักเตอร์และโปรเซสเซอร์ได้มากขึ้นในแต่ละครั้ง
- อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ในระยะทางที่สั้นลง, ประหยัดเวลาและพลังงาน ส่งผลให้โปรเซสเซอร์ทำงานได้เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น
คุณสามารถพูดได้ว่าทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการเติบโตของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่เราได้เห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากเซมิคอนดักเตอร์ถูกนำมาใช้ในเกือบทุกด้านของสังคม , ธุรกิจและชีวิตประจำวันของเรา
เหตุการณ์ท้าทายที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของนวัตกรรม
เมื่อเราเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล,คลาวด์และ AI ซึ่งเซมิคอนดักเตอร์จะมีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนเครื่องจักรและอุปกรณ์และเราสามารถคาดหวังการเติบโตอย่างต่อเนื่องในส่วนของเซมิคอนดักเตอร์
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในสิ้นปี 2019 บริษัท Gartner ได้วิเคราะห์และคาดการณ์ว่าตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกจะเติบโตขึ้น 12.5% ในปีนี้ และเมื่อผ่านไปการคาดการณ์ได้ถูกแก้ไขเป็นลดลง 0.9% ของปี 2020 ซึ่งเกิดจากผลกระทบที่รุนแรงและกว้างของการระบาดของ COVID-19 โดย Andrew Norwood รองประธานฝ่ายวิจัยของ Gartner ได้กล่าวว่า“ COVID-19 ทำให้ซัพลายเชนและการผลิตทั่วโลกผิดเพี้ยนไปและทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคและองค์กรลดลงเป็นอย่างมากในพื้นที่ส่วนใหญ่ด้วยข้อยกเว้นบางประการ”
อีกเหตุการณ์สำคัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเติบโตนี้คือ สงครามการค้าซึ่งส่งผลร้ายไม่เพียงแต่การขายและการเติบโตของเซมิคอนดักเตอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึง GDP ทั่วโลกด้วย ในเรื่องนี้ Norwood ได้ให้ความเห็นว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นในทันทีจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน คือ การผลักดันให้บริษัทของจีนหลายแห่งรวมถึง Huawei มองหาซัพพลายเออร์ซิลิคอนทางเลือก -“ โดยมี HiSilicon อยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายชื่อเช่นเดียวกับซัพพลายเออร์รายอื่นที่อยู่ในญี่ปุ่น,ไต้หวัน,เกาหลีใต้และจีน”
การเพิ่มขึ้นของเซมิคอนดักเตอร์แบบใหม่?
ป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในปลายปี 2020 หลังจากหลายปีที่ผ่านมาในการพัฒนาอุตสาหกรรมวงจรรวมและส่วนประกอบ IC ของจีนได้ก้าวไปอย่างรวดเร็ว โดยในปีที่แล้วอุตสาหกรรมนี้สร้างรายได้กว่า 750,000 ล้านหยวนและคาดว่าจะสูงถึง 900 พันล้านหยวน ซึ่งในปีนี้ซึ่งมีกำลังการผลิตมากกว่า 20% ของทั้งหมดทั่วโลก
ตามที่ Li Ke จาก China Semiconductor Industry Association (CSIA) ได้กล่าวว่าอุตสาหกรรมวงจรรวมและส่วนประกอบ IC มีความสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ “ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จีนจะต้องพัฒนาชิปในประเทศเป็นหลักและและซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมชิปในท้องถิ่นเพื่อที่จะซัพพลายให้กับผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายโทรคมนาคมระดับโลกและผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือของประเทศ”
ในประเทศจีนห่วงโซ่อุตสาหกรรมการผลิตชิปในประเทศได้เกิดขึ้นพร้อมกับการสนับสนุนของนโยบายสำหรับอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ระดับโลก โดยในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ปี ประเทศได้ลดช่องว่างด้วยเทคโนโลยี IC ชั้นนำของโลกด้วยความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการผลิต IC, การวิจัยและพัฒนา (R&D) ตลอดจนการพัฒนากระบวนการที่สำคัญในอุตสาหกรรมด้วยการแบ่งตามการใช้งาน
Li Ke เชื่อว่าจีนจะมีความสามารถในการผลิตชิปขนาด 28 นาโนเมตรเป็นจำนวนมากได้เต็มที่ภายในหนึ่งหรือสองปีเช่นเดียวกับห่วงโซ่อุตสาหกรรมในประเทศที่สมบูรณ์และความสามารถในการผลิตชิปได้อย่างอิสระ
เมื่อเดือนที่แล้วบริษัทของจีน Innosilicon ผู้ให้บริการโซลูชันชิปตามความต้องการของลูกค้าได้ประกาศว่า ได้ทำการทดสอบชิปต้นแบบตามกระบวนการ FinFET N + 1 ของ Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC) โดยที่ N + 1 เป็น node รุ่นใหม่ของ SMIC เปรียบได้กับกระบวนการ 7 นาโนเมตรของบริษัทรับจ้างผลิตเซมิคอนดักเตอร์อิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC)
เทคโนโลยีการผลิต N + 1 นี้จะเป็นโหนดหลักลำดับถัดไปของ SMIC หลังจากการพัฒนากระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 14 นาโนเมตรและ 12 นาโนเมตร โดย SMIC กล่าวว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโหนด 14 นาโนเมตรแล้ว เทคโนโลยี N + 1 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้มากถึง 20% และลดพลังงานลง 57% ในขณะที่เพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ได้ถึง 2.7 เท่า
มุ่งหน้าต่อไปสำหรับปี 2021 และปีต่อๆไป
สถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับจีนแสดงให้เห็นว่า ความจำเป็นเป็นบ่อเกิดของการประดิษฐ์ ซึ่งในปัจจุบันประเทศจีนเป็นประเทศที่มีผู้ใช้บริการบริษัทรับจ้างผลิตเซมิคอนดักเตอร์เป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งคิดเป็น 22% ของยอดขายทั่วโลกในปี 2020 ซึ่งสูงกว่า APAC และแม้แต่ในยุโรป ซึ่งเมื่อต้องเผชิญกับมาตรการการคว่ำบาตร อุตสาหกรรมชิปของจีนจึงต้องคิดค้นนวัตกรรมและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นและเป็นการพึ่งพาตนเองในการผลิตชิป
ด้วยเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น การประมวลผลที่ล้ำหน้า, การประมวลผลประสิทธิภาพสูง, ปัญญาประดิษฐ์และ 5G ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการกำหนดภูมิทัศน์เทคโนโลยีในอนาคตของเราโดยเราสามารถคาดหวังได้ว่าความต้องการชิปในทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณในปีต่อ ๆ ไป
N + 1 ของ SMIC ไม่ได้อยู่ในฐานะคู่แข่งโดยตรงกับชิป 7 นาโนเมตรแบบดั้งเดิม แต่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการใช้งานที่ใช้พลังงานต่ำ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ควรทราบคือความก้าวหน้าใหม่เหล่านี้ที่เกิดขึ้น มีสัญญาณที่ชัดเจนว่ากำลังจะขยายขนาดและผลิตชิปได้อย่างรวดเร็วโดยได้รับการสนับสนุนจากหลายนโยบายและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐบาลจีนแนะนำเพื่อส่งเสริมการเติบโต ในอีกไม่นานเราก็จะได้เห็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในเทคโนโลยี IC และจะเป็นคู่แข่งกับประเทศตะวันตกต่อไป
ในส่วนของผู้ใช้ทั่วโลกจากทั้งองค์กรและธุรกิจ สิ่งนี้ควรถือเป็นด้านบวก เพราะความก้าวหน้าเหล่านี้จะส่งผลอย่างไม่ต้องสงสัยในการพัฒนาหลาย ๆ ด้านของเทคโนโลยี ดังคำกล่าวที่ว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก การแข่งขันที่มากขึ้นจะทำให้เกิดนวัตกรรมที่มากขึ้นในการผลิตและพัฒนา IC และเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน
ไม่มีบริษัทไหนหรือประเทศใดสามารถดำเนินการได้โดยลำพัง โดยภายในสิ้นปี 2021เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถสร้างสมดุลได้มากขึ้นจากการที่ประเทศต่างๆมีความไว้วางใจซึ่งกันและกันและนโยบายที่จะช่วยให้พวกเขาได้รับประโยชน์จากจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของกันและกันเพื่อขับเคลื่อนสู่ยุคต่อไปของนวัตกรรม
Archive
- เมษายน 2022(1)
- มีนาคม 2022(39)
- กุมภาพันธ์ 2022(58)
- มกราคม 2022(56)
- ธันวาคม 2021(43)
- พฤศจิกายน 2021(61)
- ตุลาคม 2021(72)
- กันยายน 2021(65)
- สิงหาคม 2021(76)
- กรกฎาคม 2021(75)
- มิถุนายน 2021(83)
- พฤษภาคม 2021(61)
- เมษายน 2021(66)
- มีนาคม 2021(41)
- กุมภาพันธ์ 2021(44)
- มกราคม 2021(21)
- ธันวาคม 2020(13)
- พฤศจิกายน 2020(14)
- กันยายน 2020(1)
- สิงหาคม 2020(1)
- กรกฎาคม 2020(3)