เรียบเรียงโดย : โรเจลิโอ เลกาสปี,นักข่าว , AOPG
ในขณะนี้ข้อมูลขององค์กรส่วนใหญ่ได้รับการประมวลผลในระบบคลาวด์ โดยธุรกิจต่าง ๆ ได้ใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติที่หลากหลายและปรับเปลี่ยนได้ในการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูล อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทต่าง ๆ เข้าใจดีว่าไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดที่ควรอยู่ในระบบคลาวด์ เนื่องจาก อาจมีปัญหาด้านประสิทธิภาพหรือกฎข้อบังคับ
การเกิดขึ้นของอินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) อาจทำให้มีความกังวลเกิดขึ้นบ้าง ความนิยมอย่างแพร่หลายของ ‘สิ่งต่างๆ’ เช่น อุปกรณ์ผู้ใช้ที่มีการเชื่อมต่อสูง, เซ็นเซอร์และเครื่องจักรบังคับให้องค์กรมองหาโซลูชันนอกเหนือจากระบบคลาวด์เพื่อรับมือกับความท้าทายมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการกับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นที่สร้างขึ้น
การใช้คลาวด์หรือศูนย์ข้อมูลส่วนกลางเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับประกันความน่าเชื่อถือในการประมวลผลข้อมูลได้เนื่องจากอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันมากขึ้นอาจส่งผลให้มีเวลาหน่วงสูงและประมวลผลช้า นอกจากนี้ข้อมูลบางส่วนจำเป็นต้องอยู่ในขอบเขตที่กำหนดตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้
นี่คือการประมวลผลแบบ edge ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลการประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับแหล่งที่มา
ตามรายงานของ Gartner ประมาณ 75% ของข้อมูลที่สร้างขึ้นโดยองค์กรจะถูกออกแบบและประมวลผลนอกศูนย์ข้อมูลส่วนกลางหรือระบบคลาวด์ในปี 2025 ซึ่งในความเป็นจริง IDC คาดการณ์ว่าในปี 2024 ตลาดคอมพิวเตอร์ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึงกว่า 250 พันล้านเหรียญ
ในวันนี้เราสามารถเห็นถึงความก้าวหน้าการประมวลผลแบบ edge ได้แล้ว ในปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ ถูกบังคับให้แปลงปริมาณงานส่วนใหญ่เป็นดิจิทัล และในขณะที่ยังคงมีการตั้งค่าระยะไกล นอกจากนี้เรายังเห็นการเพิ่มขึ้นของระบบอัตโนมัติเช่น หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมการผลิตหรือรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองโดยใช้ edge computing
ในหลาย ๆ ธุรกิจได้รับประโยชน์จากการใช้การประมวลผลแบบ edge ซึ่งการประมวณผลมีอยู่ในระบบและกระบวนการทำงานแล้ว
การมีส่วนร่วมของการประมวณผลแบบ Edge กับธุรกิจ
- ปรับปรุงประสิทธิภาพความเร็วและเวลาในการตอบสนอง: ข้อมูลบางอย่างมีความสำคัญต่อเวลา ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่สร้างขึ้นเกี่ยวกับความล้มเหลวที่ตรวจพบควรได้รับการวิเคราะห์และส่งไปยังผู้ที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาทันที ตามหลักแล้ว ข้อมูลนี้จะถูกส่งไปยังระบบคลาวด์ก่อนวิเคราะห์แล้วส่งกลับอีกครั้ง ด้วยการประมวลผลแบบ Edge ข้อมูลจะถูกประมวลผลแบบเรียลไทม์โดยอุปกรณ์ประมวลผล Edge ที่ใกล้แหล่งข้อมูลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วขึ้น เนื่องจากอุปกรณ์ Edge ทุกตัวมีพลังในการประมวลผลข้อมูล จึงไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลไปยังศูนย์ข้อมูลส่วนกลางหรือระบบคลาวด์เพื่อลดปัญหาความล่าช้า
- ความปลอดภัยขั้นสูง: ด้วยการประมวลผลแบบ edge ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลทั้งหมดที่สร้างขึ้นไปยังระบบคลาวด์ หมายความว่า อุปกรณ์จะประมวลผลข้อมูลเองและจะตัดสินใจว่าข้อมูลสำคัญใดที่ต้องวิเคราะห์เพิ่มเติมและส่งผ่านระบบคลาวด์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยเนื่องจากมีการถ่ายโอนข้อมูลไปยังระบบคลาวด์น้อยลง
- ประหยัดค่าใช้จ่าย: โซลูชันของคลาวด์มีราคาสูง (ค่าใช้จ่ายต่างๆของคลาวด์อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) ด้วยการประมวลผลแบบ Edge คุณไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลของคุณไปยังระบบคลาวด์ (ซึ่งจะต้องเสียค่าบริการคลาวด์ต่างๆ) เมื่อสามารถประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอุปกรณ์ประมวลผลแบบ Edge ใกล้แหล่งข้อมูลของคุณ อย่างไรก็ตามเมื่อคุณต้องการระบบคลาวด์คุณสามารถส่งเฉพาะข้อมูลสำคัญที่ถูกกรองโดยอุปกรณ์ Edge ซึ่งหมายความว่าจะทำให้คุณสามารถจ่ายเงินจำนวนน้อยลง
- ความยั่งยืน: ศูนย์ข้อมูลส่วนกลางจะใช้พลังงานมาก ซึ่งทำให้เพิ่มการผลิต การปล่อยก๊าซคาร์บอนและของเสียอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการประมวณผลข้อมูลนี้จะช่วยลดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้โดยลดการพึ่งพาศูนย์ข้อมูลและควบคุมพลังของอุปกรณ์ที่ใช้งานแล้ว
การเพิ่มจำนวนของการประมวณผลข้อมูลแบบ Edge
ด้วยข้อดีทั้งหมดนี้ อุตสาหกรรมและองค์กรต่าง ๆ จึงหันมาใช้การประมวณผลข้อมูลสำหรับธุรกิจของตนมากขึ้น อุตสาหกรรมการผลิตใช้การประมวลผลแบบเ Edge สำหรับกระบวนการอัตโนมัติและหุ่นยนต์ทำให้เครื่องจักรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรวจจับข้อผิดพลาดได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้ระบบคลาวด์
สำหรับเซ็นเซอร์ของการประมวณผลข้อมูลแบบ edge นั้น จะช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ โดยการตรวจจับอันตรายแบบเรียลไทม์ สมมติว่าเซ็นเซอร์ตรวจพบว่าอุปกรณ์มีอุณหภูมิเกินเกณฑ์แล้ว ด้วยการประมวลผลแบบ edge อุปกรณ์จะประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์และแจ้งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อหาแนวทางแก้ไขได้ทันที
คุณยังสามารถตรวจดูการใช้งานของการประมวณผลข้อมูลบนยานพาหนะอัตโนมัติ หากอุปกรณ์เหล่านั้นใช้ระบบคลาวด์เพียงอย่างเดียว การตัดสินใจอาจล่าช้าอย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุและความเสี่ยงอื่น ๆ ขณะเดินทาง ด้วยการประมวลผลแบบล้ำยุครถยนต์ไร้คนขับสามารถประมวลผลข้อมูลทั้งหมดที่สร้างขึ้นจากเซ็นเซอร์หรือกล้องเพื่อสั่งงานได้ทันที
Edge and Cloud: Better Together
มีการใช้การประมวณผลแบบ edge อย่างกว้างขวาง ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำให้การประมวลผลแบบคลาวด์มีความซ้ำซ้อนโดย การประมวลผลแบบคลาวด์จะมีบทบาทที่แตกต่างออกไป ในขณะเดียวกันกับการทำงานควบคู่ไปกับการประมวลผลแบบ edge
เนื่องจากข้อมูลที่สำคัญได้จัดเก็บอยู่ในอุปกรณ์ที่มีความทันสมัย ทำให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงสามารถจัดเก็บและสำรองข้อมูลนี้บนระบบคลาวด์เพื่อความปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือ บทบาทของระบบคลาวด์นี้จะเป็นเหมือนที่จัดเก็บข้อมูลส่วนกลาง ซึ่งธุรกิจสามารถควบคุมและตรวจสอบได้ในที่เดียวหรือแพลตฟอร์มเดียวกัน
ระบบคลาวด์ทำหน้าที่เป็นกำลังเสริมของการประมวลผลแบบเอดจ์ สิ่งที่ระบบคลาวด์ไม่สามารถทำได้ ในขณะเดียวกันการประมวลผลแบบเอดจ์สามารถทำได้
ด้วยเหตุนี้ผู้ให้บริการระบบคลาวด์รายใหญ่บางราย ต้องการเร่งขีดความสามารถและนำเสนอการประมวลผลที่ล้ำหน้ากว่าบริษัทอื่น ๆ เช่น Amazon Web Services, Microsoft Azure และ Google Cloud ต่างก็ลงทุนครั้งใหญ่ในการประมวลผลแบบล้ำยุค โดยการร่วมมือกับบริษัท โทรคมนาคมเพื่อขยายเครือข่ายและเพื่อให้พลังการประมวลผลที่เข้าใกล้แหล่งข้อมูลมากขึ้น
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคิดว่าคุณควรใช้การประมวณผลแบบ edge หรือ คลาวด์ ในธุรกิจของคุณ เนื่องจากทั้งสองแบบมีความสำคัญต่อการจัดการและประมวลผลข้อมูลในโลกดิจิทัลนี้
Archive
- เมษายน 2022(1)
- มีนาคม 2022(39)
- กุมภาพันธ์ 2022(58)
- มกราคม 2022(56)
- ธันวาคม 2021(43)
- พฤศจิกายน 2021(61)
- ตุลาคม 2021(72)
- กันยายน 2021(65)
- สิงหาคม 2021(76)
- กรกฎาคม 2021(75)
- มิถุนายน 2021(83)
- พฤษภาคม 2021(61)
- เมษายน 2021(66)
- มีนาคม 2021(41)
- กุมภาพันธ์ 2021(44)
- มกราคม 2021(21)
- ธันวาคม 2020(13)
- พฤศจิกายน 2020(14)
- กันยายน 2020(1)
- สิงหาคม 2020(1)
- กรกฎาคม 2020(3)