คุณพิเชฏฐ เกตุรวม ผู้จัดการประจำประเทศไทยของบริษัท Vertiv Thailand ได้กล่าวถึงความท้าทายที่องค์กรด้านการดูแลสุขภาพของไทยเผชิญอยู่และแนวทางแก้ไขที่จำเป็นเพื่อเติมเต็มช่องว่างในโครงสร้างพื้นฐานไอที
DisruptiveTechAsean: คุณบอกเราสักหน่อยได้ไหมว่าโซลูชั่นของ Vertiv สามาถช่วยภาคส่วนการให้บริการด้านสุขภาพได้อย่างไร
คุณพิเชฏฐ เกตุรวม: ภาคส่วนการให้บริการด้านสุขภาพ (healthcare) นั้นได้พึ่งพาเทคโนโลยีในการให้บริการแก่ผู้บริโภค และหากพูดถึงระบบการช่วยชีวิตสมัยก่อนซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์และในห้องปฏิบัติการที่สร้างจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ สามารถให้บริการผู้ป่วยด้านสุขภาพต่าง ๆ ได้อย่างเพียงพอและเที่ยงตรง ด้วยการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น อุปกรณ์สวมใส่ แอปพลิเคชั่นมือถือ และการสาธารณะสุขทางไกล (telehealth) ประกอบกับผู้ป่วยต้องการบริการด้านสุขภาพที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ภาคส่วนการให้บริการด้านสุขภาพต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆหลากหลายรูปแบบ
การกำกับดูแลการปฏิบัติการด้านบริการสุขภาพอันสำคัญและการสร้างความมั่นใจด้านความต่อเนื่องของการให้บริการเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้น ๆ ในภาคส่วนการให้บริการด้านสุขภาพ โรงพยาบาลต้องการระบบไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ เพราะไฟดับอาจทำให้ผู้ป่วยตกอยู่ในความเสี่ยงได้ได้ ด้วยเหตุนี้อุปกรณ์ทางการแพทย์และระบบการช่วยชีวิตต้องสามารถพร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ และต้องสามารถเข้าถึงเวชระเบียนอันสำคัญต่อการดูแลผู้ป่วยได้ตลอดเวลา และเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์จะพร้อมทำงานตลอดเวลาและเป็นไปตามข้อบังคับ เราจึงจำเป็นต้องทดสอบระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ โรงพยาบาลและสถาบันที่ให้บริการด้านสุขภาพจึงมั่นใจได้ว่า จะเกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงานและพร้อมให้บริการแก่ผู้ป่วยได้ เพราะมีระบบไฟฟ้าสำรองฉุกเฉินที่ตอบสนองไวและมีประสิทธิภาพของ Vertiv เช่น เครื่องสำรองไฟฟ้า (UPS)
การจ่ายไฟในสถานพยาบาลนั้นต้องได้รับการดูแลใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจุดที่จำเป็นที่สุดจะต้องมีไฟฟ้าใช้เมื่อเปลี่ยนไปใช้ไฟฉุกเฉิน ดังนั้นสถานพยาบาลต้องลงทุนกับอุปกรณ์ควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้า (PDU) ที่เชื่อถือได้ ซึ่ง นวัตกรรม PDU จาก Vertiv นั้น ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่เก็บพลังงานไฟฟ้า แต่ยังต้องพร้อมรับมือกับปัญหาความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐาน IT อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ Vertiv ยังมีโซลูชั่นการจ่ายพลังงานที่ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจ เช่น การตรวจสอบและการบริหารจัดการด้านการใช้พลังงานเพื่อให้มั่นใจได้ว่า ระบบกำลังทำงานด้วยศักยภาพภาพสูงสุด
DisruptiveTechAsean: นอกจากความต่อเนื่องของพลังงานแล้ว โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่สำคัญที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพมีอะไรอีกบ้าง
คุณพิเชฏฐ เกตุรวม: การใช้นโยบายล็อกดาวน์และการกักตัวในชุมชนได้ขับเคลื่อนองค์กรที่ให้บริการด้านสุขภาพ ตั้งแต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ไปจนถึงกลุ่มแพทย์ผู้เชียวชาญกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อนำระบบสาธารณะสุขทางไกล (telehealth) มาใช้เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับบริการอันน่าเชื่อถือ และความนิยมใช้เทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่อีกทั้งระบบตรวจสอบผู้ป่วยระยะไกลที่มากขึ้นนั้นทำให้การให้บริการด้านสุขภาพโดยใช้ระบบดิจิทัลเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ทำให้โครงสร้างพื้นฐานทางไอทีต้องมีความคล่องตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยและพัฒนาข้อมูลของผู้ป่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น เพราะโรงพยาบาลสามารถเก็บข้อมูลผู้ป่วยได้มากขึ้นทั่วทั้งโครงข่ายแหล่งข้อมูลอันกว้างขวาง
ด้วยพัฒนาการด้านต่าง ๆ เหล่านี้ โรงพยาบาลจะต้องเตรียมโครงสร้างไอทีขั้นพื้นฐานให้พร้อมรองรับอุปกรณ์และแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ โดยที่ไม่กระทบคุณภาพการดูแลผู้ป่วย ภาคส่วนด้านการให้บริการด้านสุขภาพจึงจำเป็นต้องมีระบบที่ครบวงจร ชาญฉลาด และเชื่อถือได้เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนในการดูแลผู้ป่วยโดยเน้นคุณค่าและเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ด้วยเหตุนี้ Vertiv จึงนำเสนอสถาปัตยกรรมไอทีด้านการดูแลสุขภาพและปรับใช้ที่ตั้งศูนย์ข้อมูลสาขาขนาดเล็กที่รองรับฟังก์ชั่นการดูแลสุขภาพหลากหลาย รวมถึงระบบเวชทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EMR) ภาพถ่ายดิจิตอลและโซลูชั่นการแพทย์ทางไกลขั้นสูง (advanced telemedicine solutions) เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างปลอดภัย ง่ายดาย และรวดเร็ว
DisruptiveTechAsean: การสาธารณะสุขทางไกล (Telehealth) และศูนย์กลางข้อมูลในประเทศไทยเป็นอย่างไร
คุณพิเชฏฐ เกตุรวม: ด้วยความพร้อมมุ่งมั่นในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้าน IT และสภาพแวดล้อมทางกฎระเบียบ ทำให้ประเทศไทยสามารถดึงดูดนักลงทุนเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากบทวิเคราะห์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนประเทศไทยในปี 2563 (BOI) จะมีมูลค่าการลงทุนในโครงการด้านการแพทย์รวม 46.26 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในขณะที่ภาคส่วนด้านการให้บริการด้านสุขภาพกำลังพุ่งทะยานด้วยความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนโฉมซึ่งกำลังฟื้นตัวจากผลกระทบของไวรัสโควิด 19 ก็มีธุรกิจสตาร์ทอัพเกิดใหม่จำนวนมากที่ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการให้คำปรึกษาแพทย์ออนไลน์ (teleconsulting) ระบบนัดหมายออนไลน์ การรักษาและการบริหารยา รวมถึงตลาดด้านสุขภาพ นอกจากนี้รัฐบาลยังคงให้ความช่วยเหลือแก่เหล่าธุรกิจสตาร์ทอัพในด้านของเทคโนโลยีด้านสุขภาพและแพลตฟอร์มด้านการดูแลสุขภาพทางดิจิตอลด้วยการยกเว้นภาษีและใช้มาตรการสร้างแรงจูงใจที่นอกเหนือจากเรื่องภาษีอีกด้วย
ประเทศไทยได้ลงทุนในเทคโนโลยีซับซ้อน เช่น AI, Cloud Computing, Machine Learning และ Big Data รวมถึงเทคโนโลยี 5G เพื่อสนับสนุนระบบนิเวศด้านการให้บริการสุขภาพด้วยระบบดิจิทัล (Digital Healthcare Ecosystem) ที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น และด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น การให้บริการคลาวด์ สายเคเบิ้ลใต้น้ำ ศูนย์ข้อมูล ศูนย์การผลิต และ Digital Parks ได้ทำให้รัฐบาลเล็งเห็นถึงการลดผลกระทบของเชื้อไวรัสโควิด 19 (COVID-19) และเร่งส่งเสริมการลงทุนเพื่อผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงสนับสนุนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีดิจิทัลอีกด้วย
DisruptiveTechAsean: การแก้ปัญหาช่องว่างในโครงสร้าง IT พื้นฐานของโรงพยาบาลทำอย่างไรได้บ้าง
คุณพิเชฏฐ เกตุรวม: แทบมิต้องสงสัยเลยว่าภาคส่วนด้านการให้บริการด้านสุขภาพได้ดำเนินการปรับปรุงการให้บริการแก่ผู้ป่วยครั้งใหญ่ ประกอบกับทางภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันผลักดันการลงทุนและนโยบายที่ช่วยดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้น รวมถึงระบบที่ช่วยให้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างง่ายดายเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของเอเชีย อย่างไรก็ตามยังคงมีหลายพื้นที่ในโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ของโรงพยาบาลที่ไม่ได้รับการดูแลและการลงทุนที่เพียงพอ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการของ Vertiv นี้เองจะทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการดูแลสุขภาพเป็นโซลูชั่นที่สามารถเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้ได้ ตัวอย่างเช่น ภาพสแกนทางการแพทย์และภาพจำเป็นต้องใช้การโอนถ่ายข้อมูลขั้นสูง และมีค่า latency ต่ำ เพื่อให้ได้งานที่มีความละเอียดสูงสุดจากเทคโนโลยี 4K มากกว่านั้นสวิตช์ KVM ของ Vertiv สามารถทำงานได้ดีกับภาพและวีดิโอความละเอียดสูงในปัจจุบัน จึงช่วยให้แพทย์สามารถเห็นรายละเอียดในการสแกนและภาพถ่าย ทำให้สามารถวินิจฉัยและให้ความเห็นได้แม่นยำขึ้น
เคาน์เตอร์พยาบาลมักจะอาศัยแหล่งไฟฟ้าฉุกเฉินจากในอาคารทั่วไป อย่างไรก็ตาม การลงทุนในระบบ UPS สำหรับเคาน์เตอร์พยาบาลจะช่วยให้แพทย์และพยาบาลสามารถเข้าถึงระบบ IT ซึ่งมีความสำคัญต่อการอัพเดทสถานะของผู้ป่วย การจัดยา และตารางการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ประการสุดท้าย ด้วยการโจมตีทางโลกไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่าง ๆ ที่เก็บข้อมูลความลับของผู้ป่วย จึงจำเป็นต้องลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเสริมความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่เรียกเก็บเงินที่เข้าถึงไฟล์ผู้ป่วยใน EMR ของโรงพยาบาลอาจสร้างช่องโหว่แก่แฮกเกอร์เมื่อค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตได้โดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเราสามารถคลายความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระบบไอทีด้านการดูแลสุขภาพได้โดยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถสลับระหว่างแพลตฟอร์มได้อย่างปลอดภัย
Archive
- เมษายน 2022(1)
- มีนาคม 2022(39)
- กุมภาพันธ์ 2022(58)
- มกราคม 2022(56)
- ธันวาคม 2021(43)
- พฤศจิกายน 2021(61)
- ตุลาคม 2021(72)
- กันยายน 2021(65)
- สิงหาคม 2021(76)
- กรกฎาคม 2021(75)
- มิถุนายน 2021(83)
- พฤษภาคม 2021(61)
- เมษายน 2021(66)
- มีนาคม 2021(41)
- กุมภาพันธ์ 2021(44)
- มกราคม 2021(21)
- ธันวาคม 2020(13)
- พฤศจิกายน 2020(14)
- กันยายน 2020(1)
- สิงหาคม 2020(1)
- กรกฎาคม 2020(3)