Covering Disruptive Technology Powering Business in The Digital Age

คนส่วนใหญ่คงเคยทำธุรกรรมออนไลน์มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะซื้อเสื้อผ้า, แก็ดเจ็ตหรือแม้แต่อาหาร และด้วยหลาย ๆ ประเทศได้มีการล็อคดาวน์ กิจกรรมทางออนไลน์เหล่านี้ยิ่งไม่หายไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วความนิยมในการส่งและรับเงินทางออนไลน์รวมถึงการใช้จ่ายทางออนไลน์กำลังเพิ่มสูงขึ้นเพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการเงินหรือ Fintech ทำให้การทำธุรกรรมง่ายขึ้น, สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

สำหรับในอดีตนั้น อุตสาหกรรมการบริการทางการเงินและการธนาคารจะอาศัยการติดต่อการทำธุรกรรมทางกายภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินสด, เช็คและบัตรเครดิต อย่างไรก็ตามจากความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าธนาคารควรมีความคล่องตัวและความยืดหยุ่นในการทำธุรกรรมมากขึ้นโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นและการเชื่อมต่อที่รวดเร็วเพื่อการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น

ซึ่งปัจจุบันธนาคารและสถาบันการเงินได้ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการดำเนินงานตั้งแต่การชำระเงิน, การกู้ยืมเงิน, การจัดอันดับเครดิตและแม้แต่การป้องกันการฉ้อโกง โดยเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของธนาคารและสถาบันการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดย DTA ได้รวบรวมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะส่งผลกระทบมากที่สุดในอุตสาหกรรมดังนี้

1. Blockchain – เทคโนโลยีนี้มีอิทธิพลอย่างมากไม่เพียงแต่อุตสาหกรรม cryptocurrency เท่านั้น แต่ยังมีผลอย่างมากต่อการดำเนินงานของธนาคารโดยรวมอีกด้วยเพราะ blockchain ทำให้การทำธุรกรรมและข้อมูลต่าง ๆ ได้รับการรับรองว่ามีความน่าเชื่อถือ, ปลอดภัยและป้องกันการปลอมแปลงเนื่องจากมีระบบการตรวจสอบ โดย Blockchain เป็นเครือข่ายแบบกระจายอำนาจและแบบกระจายการทำธุรกรรม ซึ่งจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถดำเนินการตามสัญญาอัจฉริยะและสามารถติดตามกการทำธุรกรรมด้วยความปลอดภัยที่มากยิ่งขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติเหล่านี้ Blockchain จึงถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรมและสำหรับกรณีการใช้งานที่หลากหลาย เช่น เวชระเบียน, บันทึกทรัพย์สินและแม้แต่การเลือกตั้งของรัฐบาล

2. ปัญญาประดิษฐ์ – น่าจะเป็นเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มดีที่สุดในปัจจุบัน โดย AI พร้อมด้วย subset สามารถช่วยบริษัทต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูล, แนะนำระบบอัตโนมัติและความสามารถในการปรับขนาดสำหรับอุตสาหกรรม ซึ่ง AI มีประโยชน์มากมายตั้งแต่การตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ในการทำธุรกรรมนับล้านธุรกรรม, การวิเคราะห์เครดิตของลูกค้าเพื่อให้บริษัทต่าง ๆ สามารถทราบวงเงินกู้ยืมและการคาดการณ์สำหรับแนวโน้มของการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้กระบวนการทำงานเป็นไปโดยอัตโนมัติ, ทำให้สถาบันการเงินสามารถชำระเงินได้ทันที, ระบบบัญชีเป็นแบบอัตโนมัติและระบบที่ปรับขนาดได้
3. ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) – ข้อมูลกลายเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดสำหรับองค์กรสมัยใหม่รวมถึงในอุตสาหกรรมการธนาคาร ข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับธุรกิจและช่วยในการตัดสินใจ ขณะนี้ข้อมูลจำนวนมหาศาลถูกสร้างขึ้นทุก ๆ วินาทีและด้วยกระบวนการผสมผสานและการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง โดยอุตสาหกรรมการเงินจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง ด้วยข้อมูลขนาดใหญ่นี้จะทำให้สถาบันการเงินสามารถคาดการณ์แนวโน้มของตลาด เช่น หุ้นและอัตราการแลกเปลี่ยนและให้บริการเฉพาะบุคคลแก่ลูกค้า

4. Regulatory Technology – หรือที่เรียกว่า RegTech เทคโนโลยีนี้เป็นการใช้เทคโนโลยีหลายแบบที่จะช่วยให้บริการทางการเงินเป็นไปตามกฎระเบียบ เนื่องจากมีลูกค้าเป็นจำนวนมากที่ให้ความไว้วางใจให้กับอุตสาหกรรมการเงินจึงทำให้องค์กรทางการเงินจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเข้มงวดและ RegTech ยังช่วยทั้งสถาบันการเงินและองค์กรที่กฏระเบียบต่างร่วมมือกันในการจัดการกระบวนการ, การตรวจสอบและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ซึ่ง RegTech นำข้อมูลมาปรับปรุงและดำเนินการตามกระบวนการของอุตสาหกรรมทางการเงิน โดยมีการจัดการของบันทึก, รายงาน, ภาษีและทรัพย์สินอื่น ๆ ของธนาคาร

5.  5G – ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารนี้กำลังเกิดขึ้นในปี 2020 และด้วยผู้ใช้จำนวนมากที่ใช้บริการธนาคารผ่านมือถือและธุรกรรมออนไลน์ ดังนั้น 5G จึงสามารถช่วยให้การดำเนินงานของการบริการทางการเงินและการธนาคารเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้นมาก ซึ่ง นอกจากนี้ 5G ยังช่วยให้อุปกรณ์และระบบเชื่อมต่อมากขึ้นตั้งแต่สถาบันการเงินไปจนถึงลูกค้าเพื่อการทำธุรกรรมที่ดีขึ้น ซึ่งจากการนำ 5G ไปใช้ทั่วโลกจะทำให้การทำธุรกรรมจะเกิดขึ้นได้ในทันทีและสามารถรองรับลูกค้าได้มากขึ้น

(0)(0)